บทที่ 5 เครือข่ายใยแมงมุง

บทที่ 5 เครือข่ายใยแมงมุม
เครือข่ายใยแมงมุม
        ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมต่อกันได้ทั่วโลก และการใช้งานบนระบบเครือข่ายนเทอร์เน็ตในปัจจุบัน เป็นการใช้งานที่ทำได้ง่าย สะดวก และมีการให้บริการที่หลากหลายรูปแบบทำให้ทุกคนามารถใช้งานบนอินเทอร์เน็ตได้ด้วยตนเอง และในระบบงานราชการของไทยในยุคปัจจุบันก็จะใช้ทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงาน เพื่อทำให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ งกันได้ และช่วยลดปริมาณกระดาษในการนำส่งเอกสารระหว่างหน่วยงานได้อีกด้วยการบริการอย่างหนึ่งซึ่งมีความสำคัญในการสื่อสารบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถเชื่อมโยงเอกสารในเครือข่ายนเทอร์เน็ตที่มีอยู่ทั่วโลก จึงทำให้ระบบนี้ถูกเรียกว่า “เครือข่ายใยแมงมุม” (World wide Web) หรือ www หรือ web นั่นเองระบบเวิลด์ ไวด์ เว็บ (World wide Web) ได้พัฒนาขึ้นมา ในช่วงปลายปี 1989โดย ทิม เบอร์นอร์ลี นักวิศวกรรมซอฟต์แวร์จากห้องปฏิบัติการทางจุลภาคฟิสิกส์แห่งยุโรป (European Partide Physics abs) หรือที่รู้จักกันในนาม CERN (Conseil European pour la Recherche Nucleaire) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยระบบเวิลด์ ไวด์ เว็บ ใช้โปรโตคอล (Protocol) HTTP (Hyper Text Transfer Protocol) และได้มีการฒนาภาษาที่ใช้สนุบสนุนการเผยแพร่เอกสารเว็บจากเครื่องแม่ข่ายที่เรียกว่า เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) ไปยังสถานที่ต่างๆ ในระบบเวิลด์ ไวด์ เว็บ เรียกว่าภาษา HTML (Hyper Text Markup Language) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในการแสดงเว็บเพจผ่านทางโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) นั่นเองการเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตผ่านสื่อประเภทเว็บเพจเป็นที่นิยมอย่างสูงในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาสินค้า การศึกษาข้อมูล ความรู้ต่างๆ การเผยแพร่ข้อมูลทางการแพทย์ การเรียนผ่านอินเทอร์เน็ต การซื้อ-ขายสินค้า ตลอดจนความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ เช่น การดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม การเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบนี้จะสามารถเข้าถึงกลุ่มของผู้ที่สนใจได้ทั่วโลกตลอดจนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารก็ทำให้ทั้งรูปแบบข้อมูลตัวอักษร ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง และภาพเคลื่อนไหวต่างๆ จึงทำให้ระบบเวิลด์ ไวด์ เว็บ ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตลักษณะของการการนำเสนอข้อมูลเว็บเพจคือ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลไปยังจุดอื่นๆ บนหน้าเว็บเพจได้ ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงไปยังเว็บอื่นๆ ในระบบเครือข่าย ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “Hyper Text” ซึ่งเป็นข้อความที่มีความสามารถมากกว่าข้อความปกติ จึงมีลักษณะคล้ายกับว่าผู้อ่านเอกสารเก็บสามารถโต้ตอบกับเอกสารนั้นๆ ด้วยตนเองตลอดเวลาที่มีการใช้งานนั่นเอง



บิดาแห่งอินเทอร์เน็ต 
         “ทิม เบอร์เนอร์ ลี” ผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งอินเทอร์เน็ต ในฐานะผู้คิดค้นเครือข่ายเชื่อมโยงการสื่อสารทั่วโลก หรือ “เวิร์ล วาย เว็บ” เข้ารับรางวัลเงินสด 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ในฐานะผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เจ้าตัวระบุไม่คิดว่าผลงานหรือความสำเร็จจะวัดได้จากค่าของเงินรางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ทิม เบอร์เนอร์ ลี หรือ ผู้ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งอินเทอร์เน็ต วัย 49 ปี เข้ารับรางวัลในฐานะผู้คิดค้นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีการสื่อสารโยงใยผ่านอินเทอร์เน็ต (World Wide Web) ซึ่งถือเป็นบุคคลแรกที่คว้ารางวัลดังกล่าวที่เป็นเงินสดมูลค่า 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ทั้งนี้คณะกรรมการพิจารณาจากผลงานที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการสื่อสารผ่านเว็บไซต์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจและการค้าทั้งนี้เบอร์เนอร์ ลี คิดค้นเครือข่ายการสื่อสารครั้งแรกขณะทำงานในศูนย์วิจัยเมื่อปี 1989 โดยในครั้งนั้นได้กำหนดรูปแบบการสื่อสารผ่านโปรโตคอล และเว็บเพจในรูปแบบ HTML (Hypertext Markup Language) พร้อมประสบความสำเร็จในการสร้างเว็บบราวเซอร์ตัวแรกที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ”World Wide Web” อย่างไรก็ตาม เบอร์เนอร์ ลี ระบุว่า มูลค่าของเงินรางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงคุณค่าของผลงาน หรือความสำเร็จ พร้อมยืนยันว่าจะทำหน้าที่คิดค้นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีการสื่อสารต่อไป โดยโครงการใหม่ได้ร่วมมือกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญในการสร้างรูปแบบการสื่อสาร จัดเก็บและบริหารข้อมูลอัตโนมัติ
เว็บเพจ (Web Page) คือ หน้าเอกสารเว็บ (Web) แต่ละหน้าที่สามารถเชื่อมโยงกันได้เปรียบเสมือนหน้าของหนังสือที่เราอ่านแต่ละหน้า
เว็บไซต์ (Web Site) คือ หน้าเว็บเพจหลายๆ หน้า นำมารวมกันเปรียบได้กับหนังสือ 1 เล่มที่ประกอบด้วยหน้าของหนังสือหลายๆ หน้า
โฮมเพจ (Home Page) คือ หน้าแรกของเว็บไซต์ (Web Site) เปรียบได้กับปกหนังสือที่จะอยู่ที่หน้าแรกสุดก่อนที่จะเปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้นๆ
โปรโตคอล (Protocol) หมายถึง มาตรฐานในการสื่อสารข้อมูลบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น http, ftp, หรือ pop เป็นต้น

หมายเลขประจำเครื่อง (IP Address)
การส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ ที่มีการเชื่อมต่อกันในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งอยู่ภายใต้มาตรฐาน TCP/ IP (Trams,ossopm Cpmtrp Protocl / Interner Protocol)เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีหมายเลขประจำตัว เพื่อจะได้สามารถอ้างอิงหมายเลขในการเรียนใช้งาน และหมายเลขประจำตัวนี้จะต้องไม่ซ้ากันเช่นเดียวกับหมายเลขประจำตัวประชาชน ของแต่ละบุคคล ซึ่งหมายเลขประจำตัวนี้จะไม่ซ้ำนเช่นเดียวกับหมายเลขที่เรียกว่า IP Addtess (Interner Protocol Address)หรือ "หมายเลข IP"
IP Address คือ หมายเลขประจำตัวของเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การกำหนดหมายเลข IP Address ประกอบด้วยเลขหมายจำนวน 4 ชุด ๆ ละ 8 บิต จะรวมเป็นค่าตัวเลข 32 บิต ค่าของตัวเลขแต่ละส่วนมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 255สามารถเขียนเป็นเลขฐานสิบ 4 ชุด แต่ละชุดคั่นด้วยเครื่องด้วยหมาย จุด (.)เช่น 202.14.164.0 ซึ่งแต่ละชุดของ IP Address จะมีตัวเลขไม่เกิน 3 ตัว และค่าของตัวเลขแต่ละชุด จะไม่เกิน 255 และการกำหนดค่า IP Address จุต้องอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานกลาง คือ Inter NIC (Internet Netwok Informarion Center)ขององค์การ Nerwork Solution Incorporated (NSI)ที่รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา องค์กรหรือหน่วยงานใดที่ต้องการ IP Address ต้องสมัครเป็นสมาชิดกับองค์การ Inter NICนอกจากนี้สามารถที่จะขอ IP Address ได้จาก ISP (Interner Service Provider)คือบริษัทผู้ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตซึ่ง ISP ได้ขอหมายเลข IP Address จาก InterNIC เอาไว้แล้ว เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าของตนการแบ่งกลุ่มของ IP Address จะเรียกว่า คลาส (Class)สามารถแบ่งออกเป็น 5 คลาส ดังนี้
Class
Range

A

B

C

D

E
0.0.0.0      ถึง 127.255.255.255

128.0.0.0  ถึง 191.255.255.255

192.0.0.0  ถึง 223.255.255.255

224.0.0.0  ถึง 239.255.255.255

240.0.0.0  ถึง 247.255.255.255




โดเมนเนม (Domain Name)
      โดเมนเนม ความหมายโดยทั่วๆ ไป หมายถึง ชื่อเว็บไซต์ ชื่อบล็อก ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้จดจำและนำไปใช้งานได้ง่ายทั้งในการเข้าชมผ่านบราวเซอร์ของผู้ใช้ทั่วไป ยังรวมไปถึงผู้ดูแลระบบโดเมนเนมซีสเทม ที่สามารถแก้ไขไอพีแอดเดรสของชื่อโดเมนเนมนั้นๆ ได้ทันทีโดยที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจดจำไอพีแอดเดรสที่มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่เว็บไซต์ จะมีโดนเมนเนมเฉพาะไม่ซ้ำกับใครโดนเมนเนม มีด็อทอยู่หลายประเภทแต่ที่นิยมมากที่สุดนั้นก็คือ .com เพราะเป็นด็อทในยุคแรกๆ ที่เริ่มใช้กัน และง่ายต่อการจดจำ
ประเภทของ Domain Name แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1. โดเมน 2 ระดับ ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน
2. โดเมน 3 ระดับ ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน . ประเทศ
โดนเมนเนม 2 ระดับจะประกอบด้วย www . ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน เช่น www.b2ccreation.com
ประเภทของโดเมน คือ คำย่อขององค์กร โดยประเภทขององค์กรที่พบบ่อย มีดังต่อไปนี้
* .com คือ บริษัท หรือ องค์กรพาณิชย์
* .org คือ องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร
* .net คือ องค์กรที่เป็นเกตเวย์ หรือ จุดเชื่อมต่อเครือข่าย
* .edu คือ สถาบันการศึกษา
* .gov คือ องค์กรของรัฐบาล
* .mil คือ องค์กรทางทหาร

โดนเมนเนม 3 ระดับจะประกอบด้วย www . ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน . ประเทศ เช่น www.kmitnb.ac.th, www.nectec.or.th, www.google.co.th

ประเภทขององค์กรที่พบบ่อยคือ
* .co คือ บริษัท หรือ องค์กรพาณิชย์
* .ac คือ สถาบันการศึกษา
* .go คือ องค์กรของรัฐบาล
* .net คือ องค์กรที่ให้บริการเครือข่าย
* .or คือ องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร

ตัวย่อของประเทศที่ตั้งขององค์กร
* .th คือ ประเทศไทย
* .cn คือ ประเทศจีน
* .uk คือ ประเทศอังกฤษ
* .jp คือ ประเทศญี่ปุ่น
* .au คือ ประเทศออสเตรเลีย

โดนเมนเนม
ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่มองข้ามไม่ได้เลยสำหรับเว็บไซต์นั้นๆ โดยเฉพาะกับการโฆษณาบนอินเตอร์เน็ท ถ้าได้ชื่อที่เฉพาะเจาะจง ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้วนั้น จะทำให้โดเมนเนม หรือ เว็บไซต์นั้นๆ จะได้รับความสนใจและเป็นที่จดจำได้ง่ายไม่ใช่กับผู้เข้าชมหรือกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาชมเว็บไซต์ผ่านโดมเนมเท่านั้นยังรวมไปถึง Search Engine ชื่อดังต่างๆ เช่น Google Yahoo MSN เป็นต้น ที่จะเข้ามาแวะเวียนเข้ามาทำ index กับเว็บเพจหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ของเรา

 รหัสสืบค้นแหล่งข้อมูล
ในการสืบค้นข้อมูลนั้นจำเป็นจะต้องมีโปรแกรมที่ช่วยในการค้นหาแฟ้มข้อมูล ซึ่งมีอยู่หลายประเภท ได้แก่ 1. โปรแกรมอาร์คี (Archie) เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการค้นหาแฟ้มข้อมูลที่เราทราบชื่อ แต่ไม่ทราบตำแหน่ง ที่อยู่ของแฟ้มข้อมูล ว่าอยู่ในเครื่องบริการใดๆ ในอินเตอร์เน็ต โดยโปรแกรมอาร์คีนั้นจะสร้างบัตรรายการแฟ้มไว้ใน ฐานข้อมูล ซึ่งหากเราต้องการค้นหาตำแหน่งของแฟ้มข้อมูลก็เปิดโปรแกรมอาร์คีนี้ขึ้นมาล้วให้พิมพ์ชื่อแฟ้มข้อมูล ที่ต้องการลงไป โดยโปรแกรมอาร์คีจะตรวจค้นฐานข้อมูลให้ปรากฏชื่อแฟ้ม และ รายชื่อเครื่องบริการที่เก็บแฟ้มนั้นขึ้นมา ซึ่งหลังจากทราบชื่อเครื่องบริการแล้วเราก็จะสามารถใช้ FTP ถ่ายโอนเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของเราไ้้ด้
2. โปรแกรมโกเฟอร์ (Gopher) เป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูล ซึ่งใช้บริการด้วยระบบเมนูโปรแกรมโกเฟอร์ เป็นโปรแกรม ที่มีรายการเลือก เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้งานในการค้นหาข้อมูล
การใช้งาน โปรแกรมนี้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบ รายละเอียดของคอมพิวเตอร์ที่ เชื่อมโยงอยู่กับอินเตอร์เน็ตใดๆ เลย เราแค่เพียงเลือกรายการที่ต้องการในรายการเลือก และกดปุ่ม <Enter> ซึ่งเมื่อมีข้อมูลแสดงขึ้นมาแล้ว เราก็สามารถอ่านข้อมูลนั้น และบันทึกเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้


3. โปรแกรม Veronica เป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลที่ได้รับการพัฒนามาจากโปรแกรมโกเฟอร์ โดยการค้นหาข้อมูล จะทำได้โดยไม่ต้องผ่านระบบเมนู เพียงแค่พิมพ์คำสำคัญ หรือ ให้ระบบได้ทำการค้นหาข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับ Keyword
4. โปรแกรมเวส (Wide Area Information Server-WAIS) เป็นโปรแกรมที่เป็นเครื่องมือในการสืบค้นข้อมูล โดยทำการค้นหาจากเนื้อหาของข้อมูล ซึ่งการใช้งา้นต้องระบุุชื่อเรื่อง หรือชื่อของคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของข้อมูล ที่ต้องการ ซึ่งโปรแกรมเวสจะช่วยค้นหาไปยังแหล่งข้อมูลที่เชื่อมต่ออยู่ภายในอินเตอร์เน็ต
5. โปรแกรม Search Engines เป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยให้พิมพ์คำ หรือข้อความที่เป็น Keyword จากนั้นโปรแกรม SearchEngines จะแสดงรายชื่อของแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่ี่เกี่ยวข้องขึ้นมาให้เราได้เลือกคลิกที่รายชื่อของแหล่งข้อมูลนั้น เพื่อเลือกข้อมูลที่ต้องการได้ ซึ่งการจัดการแหล่งข้อมูลเหล่านั้นโปรแกรม Search Engines จะจัดไว้เป็นเมนู โดยเริ่มจากข้อมูลในหมวดใหญ่ๆ ไปจนถึงข้อมูลในหมวดย่อยๆ
การเชื่อมโยงข้อมูล (link)
จากการที่อินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางอยู่ทั่วโลกนั่น เป็นผลมาจากความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูล (link) จากข้อมูลหนึ่งไปยังอีกข้อมูลหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถเชื่อมโยงข้อความได้ทั้งจากภายในแฟ้มเอกสารข้อมูลของภายใน และแฟ้มเอกสารข้อมูลภายนอก

http://pirun.ku.ac.th/~agrtnk/web/units/unit7/Image11.gif

ข้อความที่ใช้เป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูลนั้น จะมีตัวอักษรเป็นสีน้ำเงิน (หรือสีอื่นตามแต่ที่ผู้สร้างกำหนดขึ้นมา) เมื่อเลื่อนเมาส์ไปชี้ที่ข้อความซึ่งมีการเชื่อมโยง รูปแบบของตัวชี้จะเปลี่ยนจาก สัญลักษณ์ลูกศรไปเป็นรูปมือแทนประเภทของการเชื่อมโยง ใน HTML แบ่งการเชื่อมโยงออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้การเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์การเชื่อมโยงนอกเว็บไซต์ตำแหน่งสำหรับคลิกเพื่อทำการเชื่อมโยงข้อมูล จะเรียกว่าจุดเชื่อมโยง หรือจุด Linkซึ่งใช้ได้ทั้งตัวอักษร ข้อความ หรือรูปภาพคำสั่งที่ใช้เชื่อมโยงข้อมูล คือ<a href=" ชื่อไฟล์ หรือ URL" >ข้อความหรือรูปภาพที่จุด Link</a>Attribute ที่ใช้ร่วมกับการสร้าง Link ซึ่งจะต้องนำมาวางต่อจากคำสั่งสร้าง linkและใช้คำสั่ง target= คุณสมบัติด้านล่าง เช่น<a href=" ชื่อไฟล์" target=_blank>ข้อความหรือรูปภาพที่จุด Link</a>_blank = เปิดหน้าเอกสารใหม่โดยที่หน้าเดิมยังคงอยู่
_self = เปิดหน้าใหม่โดยที่หน้าเดิมเปลี่ยนไปบางส่วน หากว่าใช้กับ เฟรม
_parent = เปิดหน้าใหม่โดยที่หน้าเดิมเปลี่ยนไป
_top = เปิด file ที่หน้าเดิมโดยจะไปด้านบนสุดของหน้าเว็บเพจ
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น